เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2567 นายฉัตรชัยวงศ์ ชูเลิศ ประธานเครือข่ายเฝ้าระวังทุจริตส่วนภูมิภาคและท้องถิ่น พร้อมคณะทำงาน และชาวบ้านตำบลนางั่วกว่า 10 คน ได้เดินทางขอเข้าพบนายอำเภอเมืองเพชรบูรณ์ในฐานะประธานคณะกรรมสอบหาข้อเท็จจริงกรณีที่สาธารณะประโยชน์ แปลง “ป่าโคกตาด”แต่ไม่อยู่ และได้มีนายสมศักดิ์ หลวงเทพ ปลัดอำเภอเมืองเพชรบูรณ์ เลขานุการคณะกรรมการสอบสวนหาข้อเท็จจริงฯ ได้ออกมาต้อนรับและได้เชิญทั้งหมดเข้าไปพูดคุยกันในห้องฝ่ายความมั่นคง ชั้นล่าง ที่ว่าการอำเภอเมืองเพชรบูรณ์ โดยไม่อนุญาตให้ผู้สื่อข่าวเข้าร่วมรับฟังแต่อย่างใด ซึ่งได้ใช้เวลาพูดคุยกันอยู่ในห้องดังกล่าวนานกว่า 1 ชั่วโมง ก่อนที่นายฉัตรชัยวงศ์ ชูเลิศ ประธานเครือข่ายเฝ้าระวังทุจริตฯ ได้ออกมาให้ข่าวว่า วันนี้ตนและชาวบ้านได้มาสอบถามความคืบหน้า จากกรณีที่กระทรวงมหาดไทยมีหนังสือมาถึงผู้ว่าราชการจังหวัดให้ดำเนินการแก้ไขเปลี่ยนแปลงหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง หรือ นสล. เลขที่ พช. 159 ให้ถูกต้องตรงตามที่ทะเบียนสงวนหวงห้ามได้ประกาศไว้ มีเนื้อที่จำนวนหนึ่งหมื่นไร่ ซึ่งอยู่ในเขตอำเภอเมืองเพชรบูรณ์ และได้ยื่นหนังสือ เรื่องการรังวัดออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง ตามทะเบียนสงวนหวงห้ามที่ประกาศไว้ ณ วันที่ 6 สิงหาคม 2469 เนื้อที่ ประมาณ 1 หมื่นไร่ และได้ติดตามสอบถามความคืบหน้า พร้อมกันนี้ก็ได้ยื่นหนังสือดังกล่าวถึงผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ในฐานะผู้ออกคำสั่ง และเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเพชรบูรณ์ ในฐานะดูแลทะเบียนสงวนหวงห้ามที่ดินสาธารณประโยชน์ด้วย
ซึ่งที่ผ่านมาชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนถูกกล่าวหาว่าบุกรุกที่สาธารณะและถูกดำเนินคดี บางรายหนีออกจากพื้นที่ บางรายก็ถึงกับฆ่าตัวตายเพราะถูกดำเนินคดี จากการที่หน่วยงานรัฐออกเอกสารหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง หรือ นสล. เลขที่ พช.159 ผิดพลาดคลาดเคลื่อน เนื่องจากที่สาธารณประโยชน์ป่าโคกตาดนั้น เดิมทีได้ขึ้นทะเบียนไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2469 เนื้อที่ประมาณ 10,000 ไร่ โดยแจ้งอาณาเขตจดแจ้งไว้ ทิศเหนือจดหลักเขต ทิศใต้จดโคกหนองหอย ทิศตะวันออกจดโคกน้อย ทิศตะวันตกจดโคกคอบแคบ แต่ต่อมาพบว่าพื้นที่จริงไม่ได้ติดกับที่กล่าวอ้างในเอกสารแต่อย่างใด และล่าสุด เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2565 ได้มี คำสั่งจังหวัดเพชรบูรณ์ ที่ 1860/2565 ตั้งคณะกรรมการสอบสวนหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับที่ดินสาธารณประโยชน์แปลงป่าโคกตาด โดยให้คณะกรรมการมีหน้าที่ร่วมกันสอบสวนและพิจารณาดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการสอบสวนเกี่ยวกับการบุกรุกที่หรือทางสาธารณประโยชน์ พ.ศ.2539 ให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน โดยให้แจ้งคู่กรณีหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทราบด้วย และให้สรุปสำนวนเสนอผู้ว่าราชการจังหวัดพิจารณาสั่งการหรือดำเนินการตามที่เห็นสมควร แต่ ณ ปัจจุบันเวลาได้ล่วงเลยมาเกือบ 3 ปี ไม่มีความคืบหน้าแจ้งให้แก่ชาวบ้านซึ่งเป็นคู่กรณีได้รับรู้รับทราบแต่อย่างใด
อย่างไรก็ดีนายฉัตรชัยวงศ์ ชูเลิศ ประธานเครือข่ายเฝ้าระวังทุจริตฯ ได้กล่าวว่าตนได้คุยกับปลัดในฐานะเลขาฯคณะกรรมการสอบสวนหาข้อเท็จจริงฯ เนื่องจากตนมองว่าการแต่งตั้งคณะกรรมการ 10 ท่านนี้ มาจากข้าราชการในพื้นที่ทั้งหมดและเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อย เป็นนักการเมืองท้องถิ่น เป็นกำนันผู้ใหญ่บ้าน จึงเกรงว่าจะทำในส่วนตรงนี้ได้มากน้อยแค่ไหน ตนจึงมีแนวคิดอยู่ว่าจะมีการเสนอเพื่อให้มีการเปลี่ยนตัวคณะกรรมการทั้งหมด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องมาดูว่าถ้ามีการขอเปลี่ยนตัวเขาจะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยนก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่สำคัญมันจะทำให้ห้วงเวลาที่เราจะต้องมานับหนึ่งกันใหม่หรือไม่ ดังนั้นจะมาพิจารณาในระเบียบข้อกฎหมายต่อไปว่าควรที่จะทำหนังสือร้องให้มีการเปลี่ยนตัวคณะกรรมการหรือไม่อย่างไร แต่ยืนยันว่าต้องขึ้นมาอีกหลายครั้งนายฉัตรชัยวงศ์ กล่าว