ชาวบ้านเดือด! “โครงหลังคารุกทางหลวง” ปิดทางเข้าออกที่ดิน โวยหน่วยงานรัฐล่าช้า – อ้างหากไม่มีใครร้องเรียนก็สร้างได้
วันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 เวลา 10.00 น. ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ตรวจสอบกรณีพิพาทเดือดระหว่าง นางสาวเพ็ญศรี ศรีกิติกุลชัย เจ้าของโฉนดที่ดิน เลขที่ 3640 เล่มที่ 77 หน้า 40 เลขที่ดิน 54 หน้าสำรวจ 909 ตำบลสระกรวด อำเภอศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ กับ นางสมชิด เจ้าของผู้ประกอบกิจการ “แอร์–ฟิล์ม” หลังพบการก่อสร้างอาคารและโครงหลังคาพร้อมสิ่งกีดขวาง รุกล้ำเขตทางหลวงหมายเลข 21 ตอนคลองกระจัง–ศรีเทพ บริเวณ กม.102+100 และ ปิดทางเข้าออกที่ดินของผู้อ้างสิทธิ์โดยตรงและยังรุกล้ำเข้าพื้นที่โฉนดแปลงดังกล่าว
นางสาวเพ็ญศรี เปิดเผยว่า ตนใช้เส้นทางดังกล่าวเข้าออกที่ดินร่วมกันมาก่อนหน้าเป็นเวลานาน กระทั่งปี 2568 เมื่อเดินทางมาตรวจสอบพื้นที่ กลับพบสิ่งปลูกสร้างถูกขยายมาปิดทางจนเข้าออกไม่ได้ และยังรุกที่ดินแปลงโฉนดของตนด้วย จึงเข้าแจ้งความที่ สภ.ศรีเทพ เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2568
ภายหลังการร้องทุกข์ ฝ่ายผู้ประกอบการได้รื้อถอนส่วนที่รุกล้ำที่ดินของตนออก แต่ยังคงทิ้ง โครงหลังคาขนาดใหญ่ ที่กินพื้นที่เขตทางหลวงอยู่ ทำให้ตนยังไม่สามารถเข้าถึงทรัพย์สินของตนได้ ที่หนักไปกว่านั้น ผู้ประกอบการยังระบุว่า “หากไม่มีผู้ร้องเรียน ก็สร้างได้” จึงปฏิเสธการรื้อถอน
ต่อมาผู้เสียหายเดินเรื่องร้องทุกหน่วยงาน หลังเมื่อการเจรจาให้เปิดทางไม่เป็นผล นางสาวเพ็ญศรี จึงทำหนังสือร้องเรียนไปยัง ศูนย์ดำรงธรรมอำเภอศรีเทพ เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2568 และองค์การบริหารส่วนตำบลสระกรวด
วันที่2ตุลาคม 2568 กระทั่งวันที่ 28 ตุลาคม 2568 จึงได้รับหนังสือแจ้งผลว่าได้มีการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบแล้ว และได้มีการนัดลงพื้นที่ในวันนี้เพื่อตรวจรังวัดอย่างเป็นทางการ โดย ช่างรังวัดที่ดินจังหวัดเพชรบูรณ์ สาขาวิเชียรบุรี นายสมชาย คำแพง หัวหน้าหมวดการทางศรีเทพ และนายคมสันติ์ เจริญพันธ์ นายก อบต.สระกรวด พร้อมเจ้าหน้าที่นิติกร ของ อบต.รวมถึงผู้ถือกรรมสิทธิ์แปลงข้างเคียง
ผลรังวัดยืนยันชัดเจนว่า พื้นที่ที่ถูกรุกล้ำเป็นเขตทางหลวง หมวดการทางศรีเทพจึงออกหนังสือสั่งให้หยุดฝ่าฝืน พ.ร.บ.ทางหลวง พ.ศ.2535 และรื้อถอนภายใน 30 วัน อย่างไรก็ตาม เมื่อสื่อมวลชนขอข้อมูลเพิ่มเติม หัวหน้าหมวดการทางศรีเทพ ปฏิเสธให้ข้อมูล อ้างระเบียบหน่วยงาน นางสาวเพ็ญศรี ระบุว่า ก่อนหน้านี้ตนเคยยื่นเรื่องขอทำทางออกสู่ถนนหลัก แต่ถูกปฏิเสธเนื่องจากเป็นจุดทางโค้ง–ทางเบี่ยงสี่แยกไฟแดง หลังจากนั้นตนก็ไม่ได้ลงดูพื้นที่ เป็นเวลานาน ปีกว่า จึงไม่รู้ว่ามีการก่อสร้างปิดเส้นทางจนหมดสิ้น
ด้านทางฝั่งผู้ประกอบการเผยว่า ที่ผ่านมาไม่เคยพบเจ้าของที่ดินตัวจริง จึงเชื่อว่าสามารถใช้พื้นที่ได้ หากภายหลังมีผู้แสดงสิทธิก็พร้อมเจรจาขอเช่า แต่เมื่อคุยกันไม่ลงตัว ตนก็รื้อถอนให้แล้ว และในส่วนที่เป็นเขตทางหลวงก็จะดำเนินการตามหนังสือคำสั่งโดยไม่มีข้อโต้แย้ง
กรณีนี้สะท้อนปัญหา การรุกล้ำเขตทางหลวง ที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าในหลายพื้นที่ ขณะเดียวกันก็ยังมีคำถามสำคัญถึงการบังคับใช้กฎหมายและความคล่องตัวของหน่วยงานรัฐ ว่าจะสามารถคุ้มครองสิทธิของประชาชนผู้เสียหายได้อย่างทันท่วงทีหรือไม่
ประชาชนในพื้นที่ต่างจับตามองว่า คำสั่งรื้อถอนภายใน 30 วัน จะเกิดผลเป็นรูปธรรม หรือจะกลายเป็นเพียงเอกสารที่ไร้ความหมายอีกครั้ง










